เทศน์เช้า

พุทธคุณ

๗ พ.ค. ๒๕๔๔

 

พุทธคุณ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ผู้มีบุญมากเกิดมา เห็นไหม เกิดมาเดินได้ ๗ ก้าว เปล่งวาจาเลยว่า “เราเกิดมานี่ประเสริฐที่สุดในโลก” แต่คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เริ่มต้นแต่ว่าคนเป็นไปไม่ได้ ดูสมัยปัจจุบันนี้สิ จะโคลนนิ่งจะทำอะไรก็ทำได้หมด เห็นไหม ทำไมมันทำได้ล่ะ? ถ้าวิชาการมันเจริญขึ้นมามันทำได้

แต่อันนี้ก็เหมือนกัน อันนี้ด้วยบุญญาธิการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ตอนเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะยังไม่ได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จริงอยู่ แต่บุญญาธิการสร้างมามหาศาล ต้องเป็นไปในทางนี้แน่นอน เพียงแต่ว่าเกิดมาแล้วนี่โลกมันต้องเป็นไปโดยปกติของมันใช่ไหม อย่างการพัฒนาทุกอย่างมันต้องพัฒนาขึ้นไปจากรากฐานขึ้นไป

นี่ก็เหมือนกัน จากมนุษย์ปุถุชนธรรมดานี่แหละ แต่สร้างสมบุญญาธิการมากเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วเกิดมานี่คนมีบุญญาธิการมาเกิด เห็นไหม แม่เกิดก็เกิดไม่เหมือนคนอื่น แม่พาเวลาเกิด เกิดทีเดียวเกิดท้องเดียวแล้วไม่มีใครเกิดซ้ำอีก เพราะเอกหมด ทุกอย่างเป็นเอกหมด นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด แล้วเกิดขึ้นมาแล้วนี่มีบุญญาธิการ เห็นไหม เหมือนเรานี่ถ้าลูกเราเกิด ลูกคนไหนดีมากมาเกิดพ่อแม่จะอุดมสมบูรณ์ อย่างพอลูกคนนี้เกิดขึ้นมานี่จะมีโชคลาภมีอะไรมีทุกอย่างเลย

อันนี้ก็เหมือนกัน พอเกิดขึ้นมานี่ทุกอย่างมีแต่คนเข้ามาหาที่บ้าน มาขอดู พราหมณ์ก็มาขอดู พราหมณ์ที่อยู่บนพรหมน่ะ พอเจ้าชายสิทธัตถะเกิดขึ้นมานี่เลื่อนลั่นขึ้นไปนะว่าเกิดแล้ว ขนาดอยู่บนพรหมยังลงมาดู ลงมาขอดู มีภาพวาดอยู่ตามโบสถ์ ที่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะพ่อเข็นมาให้พรหมดูน่ะ นี่ดูขึ้นมา กาฬเทวิลดูขึ้นมาดีใจมาก ดีใจว่าพุทธลักษณะ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดแล้ว

แล้วเขาขึ้นมานี่ เขามีฌานสมาบัติ เขามีวิชาการอยู่ แต่เขาไม่สามารถออกจากกิเลสได้ เขาก็ไม่มีคนจะสอน รอแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอเกิดขึ้นมานี่ดีใจมากเลย ว่าเกิดขึ้นมาแล้ว ทั้งหัวเราะนะ ดีใจมาก แล้วก็เสียใจร้องไห้ไปในเวลาเดียวกัน เพราะว่าเขาเรียนเรื่องพรหมศาสตร์มามาก เขาจะรู้เรื่องอดีตอนาคต เขาจะมองเห็นหมด เพราะว่าเขาเก่งทางนี้ไง สมัยนั้นยังไม่มีอริยมรรค แล้วพอเอาเด็กไปเก็บน่ะ พ่อถามว่า

“ดีใจ หัวเราะ เพราะอะไร?”

“อาการ ๓๒ ที่ออกมานี่จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เจ้าชายสิทธัตถะนี่จะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว”

“แล้วที่ว่าเสียใจล่ะ เสียใจเพราะอะไร?”

“เพราะว่าชีวิตนี้มันจะดับก่อน มันไม่มีโอกาสจะได้รับความอันนี้ไง ชีวิตนี้จะตายก่อนไป”

นี่ดีใจและเสียใจในพร้อมกัน เกิดมาแล้วนี่อันนี้ก็พาเกิดขึ้นไป แต่เกิดอีกทีหนึ่ง เห็นไหมออกบวช ออกบวชแล้วตรัสรู้ธรรม ออกบวชแล้วทรมานตนเอง ศึกษาออก พยายามค้นคว้าทุกอย่างนะ ค้นคว้าสิ่งที่ว่าโลกเขามีอยู่ ไปศึกษากับสิ่งที่มีอยู่แล้วดั้งเดิม ไปศึกษากับเรื่องโลกเขา ไปกับพวกศาสดาต่าง ๆ ที่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ พอศึกษาจนจบ จบสิ้นกระบวนการขึ้นมา ความทุกข์ในหัวใจมันมีอยู่ มันรู้อยู่นี่เวลามันออกจากสมาบัติมา มันมีความทุกข์อยู่ มันมีอะไรคาใจอยู่ มันยังไม่ถึงที่สุด มันมีการเกิดการดับ มันมีสิ่งที่จับต้องได้อยู่ จนไม่ฟังใคร เห็นไหม

เพราะว่าการสร้างสมบารมีมาก็ต้องเป็นอย่างนี้เหมือนกัน เพราะอะไร? เพราะมันไม่มี สิ่งนี้ไม่เคยมีอยู่ในโลกนี้ ในโลกนี้ไม่มี ในเรื่องอริยสัจนี้โลกนี้ไม่มีเลย มีแต่ปฏิญาณกันไป ไม่รู้เรื่องจนกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้วันนี้ คืนเดือนเพ็ญ ๖ นี่ ตรัสรู้มาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้อริยสัจนี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้เป็นเครื่องดำเนินของใจไง ใจเข้าไปรู้สิ่งนั้นแล้วปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริง พอตามความเป็นจริงแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานวันนี้ ตรัสรู้วันนี้มีความสุขมาก มีความสุขในหัวใจเพราะกิเลสมันออกมาจากใจแน่นอน คลายออกมาแล้วก็ไม่มีอะไร รู้ว่าตัวเองสำเร็จ ถึงไปบอกกับปัญจวัคคีย์ไง “เธอเคยได้ยินไหมว่าเราเคยพูดว่าเป็นพระอรหันต์?”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย อยู่กับปัญจวัคคีย์มาตลอด ไม่เคยปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ แต่ปัจจุบันนี้ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว บอกกับปัญจวัคคีย์ว่า “เป็นพระอรหันต์” ให้ปัญจวัคคีย์นี้น้อมลงฟังธรรม ปัญจวัคคีย์น้อมลงฟังธรรมถึงจะได้ “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ ๆ” เพราะอะไร? เพราะต่างคนต่างรอเวลา ต่างคนต่างรอสิ่งที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาวิชาการมานี่

วิชาการเทคโนโลยีที่จะออกไปจากใจนี่มันไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์แรกขึ้นไป แล้วบอกปัญจวัคคีย์ตามออกไป นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานวันนี้ นี่ ๓ กาลไง วันของพระพุทธเจ้า คือวันเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดเป็นปุถุชน แล้วก็เกิดเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เกิดเป็นพระอรหันต์เพราะว่าจิตนี้ชำแรกออกไปเหมือนกับไก่ ไก่น้อยนั้นทะลุฟองไข่นั้นออกมา สำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อวิชชาคือฟองไข่โดนทำลายออกมา จิตนั้นเกิดมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมดสิ้นจากกิเลส แล้วจะไม่มีการเกิดการตายอีกเลย การตายวันนี้วันสุดท้ายนี้ การตายของธาตุขันธ์ที่ต้องแปรสภาพไป จิตดวงนั้นก็บริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ ไม่มีวันเกิดและวันตาย จนปัจจุบันนี้ก็มีต่อไป จนตลอดไปอนันตกาล ไม่มีเกิดไม่มีตาย จิตที่สิ้นจากกิเลสแล้วเป็นอย่างนั้น

สิ้นจากกิเลสไปนั้นเป็นผลใช่ไหม เป็นผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วอริยมรรคนี้ไว้ที่ไหนล่ะ? นี่เราเกิดมาเราถึงมีวาสนาตรงนี้ไง มีวาสนาที่เราเจออริยมรรค แม้แต่นักวิชาการศึกษาหลักของศาสนานี่ แค่เงา ๆ นะ แค่เปลือก ๆ นะ แค่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่ตื่นเต้นกันมาก นักวิทยาศาสตร์พึ่งวิเคราะห์วิจัยได้ไม่กี่สิบปีนี้เองว่าถ้าจะจับผลแล้วต้องสาวไปหาเหตุ

จับเหตุแล้วนี่ พอผลมันดับขึ้นมา ดับเพราะอะไร? ดับเพราะอริยมรรค นี่พวกปรัชญาเขาพึ่งมาคิดได้ พึ่งมารู้ตามหลัง แต่อันนี้มันสองพันห้าร้อยกว่าปี ของเรามันตรัสรู้มาแล้วจิตนี้ออกไปจากตรงนั้น นี่เราแค่เข้าถึงเปลือก ๆ ไง เราเข้าถึงแค่ปรัชญานะ เราแค่เอาตรงนี้มาวิเคราะห์วิจารณ์ เราก็มีความตื่นเต้น มีความขนพองสยองเกล้า คิดแล้ว...แหม น่าตื่นเต้นมาก มีความสุขมาก แล้วถ้าเข้าไปชำแรกกิเลสออกไปจากใจได้ความเป็นจริงอย่างนั้น มันจะขนาดไหน

นี่ขนาดไหนคือว่ามันเป็นสิ่งที่ลึกละเอียดอ่อนมาก ลึกมาก กว้างขวางมาก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ลึกซึ้งละเอียดอ่อน ตรรกะเข้าไม่ได้ ปรัชญาเข้าไม่ได้ สรรพสิ่งนี้เข้าไม่ได้หมดเลย แล้วอะไรเข้าได้ล่ะ? หัวใจไง หัวใจในสัตว์โลก หัวใจของเรานี่เข้าได้ เข้าได้ด้วยใจนี้สร้างอริยมรรคขึ้นมา ใจนี้สร้างมรรคขึ้นมาเอง แล้วเดินไปตามอริยมรรค

นี่รู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วปล่อยไว้ตามความเป็นจริง รู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วไม่ได้แบกทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคนี้ไปด้วย ใจนี้มันถึงเป็นนามธรรม สร้างขึ้นมาในอริยสัจ แล้วผ่านออกจากอริยสัจไป อริยสัจเป็นความจริงวางไว้ในโลกนี้ นี่ธรรมที่วางไว้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่วางไว้

ถ้าเราเข้าด้วยปรัชญานั้นเข้าได้แค่เงา ถ้าเรานักปฏิบัตินี่มันจะเข้าด้วยหัวใจ ธรรมนี้หัวใจนี้สัมผัสไง ใจเราเข้าไปสัมผัสธรรม แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าศาสนานี้ไม่มี เพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอันนั้น ตรัสรู้ธรรมนะ แล้วปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ด้วย แล้วสิ้นจากกิเลสด้วย แล้วไปตามความเป็นจริง แล้วเรามาเจอธรรมอันนี้มันมีวาสนาไหม

คำว่า “พุทธันดร” ฟังนะ เวลาพุทธันดรนี่ศาสนาเสื่อมไป ศาสนานี้หมดไป เวลาศาสนานี้หมดไปนี่ ศีลธรรมจริยธรรมของคนดีมีอยู่เพราะอะไร? เพราะเวลาไม่มีศาสนานี่คนดีขึ้นมายังมาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นไหม เหมือนกับพระพุทธเจ้า แต่ไม่สามารถเอาสิ่งที่ลึกซึ้งกว้างขวางละเอียดอ่อนในหัวใจนี่มาวางเป็นธรรมให้พวกเราศึกษาไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แทบจะเป็นไปไม่ได้นะ พอตรัสรู้ขึ้นมานี่ไม่รู้จะสอนไปอย่างไร สิ่งในหัวใจนี่จะบอกใครได้อย่างไร บอกไปเขาก็ว่าบ้า

มีคนหลายคนนะที่ว่าเขาเป็นดอกเตอร์ เขามาพูดให้ฟังอยู่ เขาเป็นดอกเตอร์แล้วเขามาหัดภาวนา เขาไปรู้สิ่งต่าง ๆ ในสิ่งที่เขาเห็นน่ะ เขาบอกเขาไม่กล้าพูด เพราะอะไร? ฉันพูดได้อย่างไร เพราะฉันเป็นดอกเตอร์ ถ้าพูดออกไปนี่มันจะลบล้างวิชาการไง วิชาการศึกษาไว้อย่างนี้ นี้มีจริง ๆ เขามาพูดให้ฟังอยู่ ว่าเขาเป็นดอกเตอร์ เขารู้เขาเห็นนะ เขาเห็นจิตเห็นวิญญาณ เขาเห็นของเขาอย่างนั้น แล้วเขาบอกพูดไม่ได้ ต้องปิดปากไว้เฉยเลย เพราะอะไรล่ะ? เพราะฉันเป็นดอกเตอร์

เพราะมันขัดกันไง ดอกเตอร์อันนั้นมันบอกไปแล้วมันจะเหมือนกับ ความว่าเป็นดอกเตอร์นี่มันเชื่อหลักวิชาการ แล้วพอพูดเรื่องอย่างนี้มันพิสูจน์ไม่ได้ แต่ความจริงพิสูจน์ได้ เพราะเขาก็พิสูจน์จากใจของเขาเองแล้ว เห็นไหม เขาเห็นของเขาเองแล้วเขาไม่กล้าพูด เขาพูดไม่ออกเลย แล้วเขาก็ต้องเก็บไว้ในหัวใจของเขาไป

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เอาเรื่องอย่างนี้มาวางไว้ไง สอนแต่เรื่องที่ลำบากออกมาให้เป็นเรื่องของง่าย วางให้เราเดินตามขึ้นมาให้ได้ ทาน ศีล ภาวนา จากเริ่มทำทานก่อน ใจมันหยาบ ใจไม่ยอมฟังนี่ ให้มีทานก่อน ทานขึ้นมา ทานเพราะอะไร? เพราะความสละออก ความเจียดออกไปจากใจ ความที่ของของเราจะให้หลุดออกจากมือนี่กิเลสมันไม่ยอมอยู่แล้ว

เห็นไหม ความคิดของเรา ของของเราจะให้คนอื่นไปทำไม เขาก็มีมือมีเท้า เขาก็ต้องหากินของเขา เราก็มีมือมีเท้า เราจะให้เขาได้อย่างไร นี่จิตเสมอกัน แต่ถ้าจิตมันเริ่มพัฒนาขึ้นมา เราให้เขาได้ เพราะเรามีมากกว่า เราให้เขาได้ เพราะเขามีความทุกข์ เราให้เขาได้ เพราะเขามีความทุกข์แล้วเขาจะได้ความสุขจากที่เราให้ไป

อันนี้เป็นบุญกุศล เราให้กับสมณะชีพราหมณ์นั้น สมณะชีพราหมณ์ไม่มีอาชีพไง เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ไม่มีอาชีพ ไม่สามารถทำอาหารดิบให้เป็นอาหารสุกได้ ไม่สามารถทำเองได้นะ พระนี่ไม่สามารถทำของดิบให้เป็นของสุกได้ ไม่สามารถทำได้ แล้วเราเป็นคนให้ชีวิต สิ่งนี้หล่อเลี้ยงชีวิตสมณะชีพราหมณ์ที่ปฏิบัติธรรม แล้วเราให้ชีวิตเขานะ จะเป็นบุญกุศลไหม?

นี่จิตใจพัฒนาขึ้นจากทานขึ้นมา ทานพอสละออกไปนี่ใจมันเริ่มอ่อนลง สำคัญตรงนี้ ใจเริ่มอ่อนลง ใจเริ่มเห็นผลประโยชน์ของใจขึ้นมา ทาน มีศีล นี่มันคิดฟุ้งซ่านมาก มันเป็นไปร้อยแปดเลย อะไรไปยับยั้งมันไว้ เวลามันคิดนี่ เวลามันทุกข์มันอยากให้หยุด เวลามันมีความสุขมันคิดเตลิดเปิดเปิงไปนี่มีความพอใจ มันพอใจไป แต่เวลายับยั้งความทุกข์ยับยั้งได้อย่างไร?

นี่ศีลเข้ามาเป็นกรอบไง มีศีล เห็นไหม มโนกรรม คิดผิดนี่มโนกรรม คิดชั่ว ถ้าคิดถูกล่ะ อันนี้ก็มโนกรรม เป็นกรรม เป็นอกุศลกรรม มโนกรรมเกิดขึ้นมา กุศลอกุศลเกิดขึ้นจากใจ ถ้าอกุศลขึ้นมานี่ ผิดศีลนะ ผิดศีลของเราเอง ผิดศีลจากภายใน นี่ขอบเขตของใจเริ่มเข้ามา ทำสมาธิเข้ามา แล้วทำสมาธิเข้ามานี่ จิตมันสงบเข้ามามันจะรู้เรื่องต่าง ๆ นี่เห็นเงาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตนั้นสงบ จิตนี้จับต้องตัวเองได้

พอจิตจับต้องตัวเองได้ เห็นไหม อาฬารดาบส อุทกดาบส สอนสมาบัติ ๘ ก็สอนอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปศึกษามาแล้วก็อย่างนี้ นี่มีทาน มีศีล แต่ปัญญาในอริยสัจนี้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ตรงนี้ สิ่งที่มันสงบแล้ว อาฬารดาบสก็สอนไว้แล้ว อุทกดาบสก็สอนไว้แล้ว แต่เขาไม่สามารถออกไปได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “พอจิตมันสงบแล้วต้องยกขึ้นวิปัสสนา ในกาย เวทนา จิต ธรรม ให้เป็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค”

เห็นไหม ในสติปัฏฐาน ๔ ให้ทำเป็นอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ กับมรรคมีองค์ ๘ ในหัวใจนั้น หัวใจนั้นสร้างเป็นมรรคขึ้นมาองค์ ๘ มรรค ๘ เกิดขึ้นจากใจ เพราะใจจับต้องกาย เวทนา จิต ธรรมได้ แล้ววิปัสสนาไปปัญญามันเกิดเกิดอย่างนี้ไง ปัญญาจากภายใน ไม่ใช่ปัญญาจากนักวิทยาศาสตร์ที่ปัญญาจากปรัชญา ปัญญาจากตรรกะแล้วตื่นเต้นนี่ ยังมีความสุขมาก มีความตื่นเต้นมากว่า พระพุทธเจ้านี่เก่งมาก พระพุทธเจ้านี่ตรัสรู้มาก่อน พระพุทธเจ้านี่ยอดเยี่ยมมาก

อันนั้นแค่ตื่นเงา กับคนเข้าไปเห็นตามหลักความเป็นจริงนี่มันสามารถชำระกิเลสได้ตามความเป็นจริงอันนั้น ใจของเราเราสามารถชำระใจของเราได้ แล้วใจของเราจะเชื่อใคร พระสารีบุตรไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม เขาไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า

“สารีบุตร เธอไม่เชื่อเราเหรอ?”

“เมื่อก่อนเชื่อมาก”

เมื่อก่อนคนไม่มีที่พึ่ง คนที่มืดไปแปดด้านต้องหาที่พึ่ง อยากจะหาที่พึ่งมากนะ เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปตลอด แต่ไปถึงที่สุดแล้วปัจจุบันนี้ไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะอะไร? เพราะเห็นเอง รู้เองเห็นเอง หัวใจของเราถ้าชำระกิเลสออกไปจากใจ กิเลสขาดออกไปจากใจดั่งแขนขาด กิเลสเป็นชั้น ๆ เข้าไป ดั่งแขนขาด ขาดออกไปจากใจนี่

มันจะไปเชื่อใครล่ะ? เชื่อความจริงสิ เชื่อสัจจะอันที่ตัวเองเข้าไปรู้นั่นน่ะ สัจจะในหัวใจอันนั้นมันประเสริฐกว่า นี่เป็นอย่างนั้นมันถึงชำระกิเลสได้จริง แล้วเราเกิดขึ้นมาพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พบพุทธศาสนา แล้วเราก้าวเดินตามขึ้นมา อันนี้ถึงเป็นประโยชน์กับเรา เราถึงมีอำนาจวาสนา

ย้อนกลับมา ถ้าเรามีวาสนาของเรา เราจะทำตนของเรา ไม่ทำตน ฟังนี่มันเป็นสุตะ ฟังนี่ ๆ เป็นสุตมยปัญญา แล้วจินตมยปัญญาเราก็ไปจินตนาการว่าจริงไม่จริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในกาลามสูตร “อย่าเชื่อ ไม่ให้เชื่อแม้แต่พระพุทธเจ้าบอก” ไม่ให้เชื่อนะ ให้ฟังไว้ แล้วไปไตร่ตรอง ไปคิดเอา แล้วไปทำให้ได้จริงไม่ได้จริง ถ้าได้จริงขึ้นมา เห็นไหม นี่ความเห็นขึ้นมาได้จริง

นี่ก็เหมือนกัน เราฟังมาแล้วนี่ เราฟังของเรามา แล้วเราปฏิบัติไหม ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมา หัวใจของเรามันจะก่อรูปก่อร่างขึ้นมา เวลาเราออกไปในโลกเขานะ สิ่งก่อสร้างเขามีพิมพ์เขียว เห็นไหม แล้วเราต้องไปหาอุปกรณ์มาสร้าง อันนี้ก็เหมือนกัน พิมพ์เขียวนี่อริยสัจมีอยู่แล้ว แล้วอุปกรณ์อยู่ไหน ถ้าจิตไม่สงบ มันไม่มีอุปกรณ์ขึ้นมา สิ่งที่จะก่อสร้างขึ้นมาเราก็ต้องสร้างของเราขึ้นมาเอง ทำความสงบเข้ามา

นี่อริยมรรคเกิดแล้ว จิตนี้สงบขึ้นมา จิตนี้ก่อรูปก่อร่าง จิตนี้จับต้องได้ เอกัคคตารมณ์จิตนี้เป็นหนึ่ง ใจกับกายนี้คนละส่วนกัน จับไปที่ไหนมันก็ใจ ๆ แล้วใจอยู่ไหน? พอจิตเป็นสมาธิ นี่ไงใจ! ซึ่ง ๆ หน้าเลยใจมันสงบขนาดนี้ มีความสุขขนาดนี้ เป็นสัจจะความจริง ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน ซึ่ง ๆ หน้าขนาดนี้ มันทำไมรู้?

นี่ไง! นี่ไงคือสัมมาสมาธิ แล้วสัมมาสมาธิมีสติชอบ ยกขึ้นวิปัสสนางานชอบ ความเพียรชอบ ความดำริออกจากกิเลสชอบ ความชอบทั้งหมดเป็นมรรคสามัคคี มรรครวมตัว มรรคสมุจเฉทปหานกิเลสขาดออกไปจากใจ กิเลสขาดออกไปจากใจเป็นภาวนามยปัญญาอันนี้ เกิดขึ้นจากใจ กิเลสอยู่ที่ใจ ต้องกำจัดกันที่ใจ

แล้วใจจะเกิดขึ้นได้ต้องอริยมรรคที่เกิดขึ้นจากใจอันนี้จะชำระนี่มาจากไหนล่ะ? ก็มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันถึงเคารพนะ ซึ้งใจมาก ถ้าเราซึ้งในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีอันนี้ใครมันจะชำระออกไปได้ แล้วเราเข้ามานี่เราเดินตามขึ้นมา มันก็เป็นประโยชน์กับเรา ถึงว่าศาสนาพุทธนี่ประเสริฐมาก เยี่ยมที่สุด เยี่ยมที่สุดเพราะอะไร?

เพราะมีตั้งแต่ทาน เริ่มแต่ให้ทานมีความสบายอกสบายใจ ให้เขาเราก็มีความสุข มีความสบายใจ ถ้ารักษาใจของตัวเองได้ มีศีลขึ้นมาปกป้องใจของเรา แล้วปัญญาอันนี้มีเฉพาะในศาสนาพุทธ “สุภัททะ เธออย่าถามให้มากไปเลย ในศาสนาไหนไม่มีมรรค ในศาสนานั้นไม่มีผลหรอก” ไม่มีผล มีเฉพาะในศาสนาพุทธเราที่มีมรรคอริยสัจจัง มรรคนี้ให้หัวใจเดินตามไป แล้วมรรคนี้เดินตามไปแล้วถึงที่สุดแล้วใจดวงนั้นอิ่มเต็มในใจดวงนั้นเอง

นี่ก้าวตามทันไง เราเกิดพบพุทธศาสนาด้วย แล้วเราใช้ศาสนาเป็นประโยชน์ ใช้ศาสนาเป็นประโยชน์ ฟังสิ ใช้ศาสนาเห็นไหม ให้เป็นประโยชน์กับหัวใจของเรา แล้วเรานี่ ฝรั่งเขามาบวชในศาสนาพุทธ เขาคุยกับเรา เขาบอกว่าคนไทยนี่เหมือนกบเฝ้ากอบัว คนไทยอยู่กับศาสนาพุทธนี่ไม่เคยสนใจเลย เขาอยู่ถึงยุโรป เขาต้องอุตส่าห์มาบวชในศาสนาพุทธ แล้วมาปฏิบัติในศาสนาพุทธ เขาพูดขนาดนั้น นี้เขาพูดกับเราเองเลยพระฝรั่ง

แล้วเราล่ะ? นี่เราถึงว่าใช้ศาสนาให้เป็นประโยชน์กับใจเรา ใช้ประโยชน์ในทานก็เป็นทาน ศีลก็เป็นศีล ภาวนาขึ้นมาจากหัวใจ มันเป็นสมบัติของส่วนตน เอวัง